เซ็นทรัล รีเทล ตระหนักถึงปัญหาการสูญเสียอาหารและขยะอาหารซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางอาหาร และทรัพยากรธรรมชาติ จึงได้กำหนดแนวทางการจัดการขยะอาหารตามหลัก 4 ขั้นตอน ได้แก่ การป้องกัน (Prevention) โดยควบคุมปริมาณอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการ การเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimization) ในการใช้ทรัพยากรอาหารให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อนกำจัด การรีไซเคิล (Recycle) เพื่อแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือก๊าซชีวภาพ และการกำจัดขั้นสุดท้าย (Disposal) โดยใช้วิธีที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โครงการต่าง ๆ ที่บริษัทดำเนินการจึงมุ่งเน้นลดการสูญเสียอาหารในห่วงโซ่อุปทานและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในโครงการสำคัญคือ “Surprise Bag” ซึ่ง Tops และ Tops Daily ได้ร่วมมือกับ Yindii แอปพลิเคชันส่งต่ออาหารที่ยังบริโภคได้แต่ใกล้หมดอายุ โดยนำสินค้าในกลุ่มเบเกอรี่ ผัก ผลไม้ และอาหารพร้อมรับประทานที่ยังมีคุณภาพดีมาบรรจุในถุง Surprise Bag จำหน่ายในราคาย่อมเยา (ลดจากราคาปกติสูงสุด 50%) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมให้ลูกค้ารับที่สาขาใกล้บ้าน โครงการนี้ช่วยลดปริมาณขยะอาหารจากระบบคลังสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากร และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะครอบครัวที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการในราคาที่เข้าถึงได้ ทั้งนี้ ในปี 2567 มีการจำหน่ายถุง Surprise Bag รวมทั้งสิ้น 264 ถุง คิดเป็นการลดขยะอาหารกว่า 500 กิโลกรัม

นอกจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล ยังดำเนินโครงการ “อาหารปันสุข” ร่วมกับมูลนิธิ Scholars of Sustenance (SOS) เพื่อบริจาคอาหารที่ยังรับประทานได้แต่ไม่สามารถวางจำหน่ายได้ให้กับผู้ที่ต้องการ โดยมีการตรวจสอบคุณภาพอาหารตามมาตรฐานความปลอดภัย และขนส่งด้วยรถควบคุมอุณหภูมิอย่างเหมาะสม โดยในปี 2567 สามารถบริจาคอาหารรวมกว่า 1 ล้านมื้อ ให้แก่ชุมชนกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ ช่วยลดขยะอาหารในห่วงโซ่คุณค่ากว่า 274 ตัน พร้อมจัดตั้งครัวชุมชน “Tops Food for All” เพื่อนำวัตถุดิบคุณภาพที่ไม่สามารถจำหน่ายได้มาประกอบอาหารแจกจ่ายผู้มีรายได้น้อยในเขตเมือง ลดต้นทุนการดำรงชีพและส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืน

ในด้านการแปรรูปขยะอาหารให้เกิดประโยชน์ เซ็นทรัล รีเทล ได้ติดตั้ง “เครื่องทำปุ๋ยหมักในศูนย์กระจายสินค้าของบริษัท” เพื่อแปรรูปเศษอาหารเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยเครื่องสามารถแปรรูปขยะอาหารได้เฉลี่ย 15 กิโลกรัมต่อวัน และผลิตปุ๋ยได้ราว 10 กิโลกรัมต่อรอบ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 12 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ปุ๋ยที่ผลิตได้นำไปใช้บำรุงพื้นที่สีเขียวโดยรอบศูนย์กระจายสินค้า ลดความจำเป็นในการใช้สารเคมี และเป็นต้นแบบสำหรับการจัดการขยะอินทรีย์ที่สามารถขยายผลไปยังสาขาอื่นในอนาคต

อีกหนึ่งนวัตกรรมด้านการจัดการขยะอินทรีย์ คือ “โครงการย่อยสลายขยะอาหารโดยใช้ตัวอ่อนหนอนแมลงวันลาย (BSF)” ซึ่ง Tops ได้ร่วมมือกับ Central Tham และ Betterfly เพื่อนำขยะอาหารจากร้านค้า ห้างสรรพสินค้า และศูนย์อาหารมาผ่านกระบวนการเศรษฐกิจหมุนเวียน แปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์และอาหารสัตว์ทางเลือก โดยเริ่มต้นในจังหวัดสกลนคร ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นในรูปแบบ “BSF Food Court Model” และขยายไปยัง 11 ชุมชนทั่วประเทศ พร้อมจัดตั้ง “ธนาคารไข่ BSF” เพื่อสร้างเครือข่ายการเลี้ยงหนอนแมลงวันลายอย่างยั่งยืน และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับชุมชนเพื่อเสริมศักยภาพในการจัดการขยะอินทรีย์แบบพึ่งพาตนเอง

สำหรับพื้นที่เกาะซึ่งมีข้อจำกัดในการจัดการขยะ เซ็นทรัล รีเทล ได้ดำเนินโครงการ “Samui Zero Waste Model” ตั้งแต่ปี 2564 โดยเริ่มต้นที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่ประสบปัญหาขยะอาหารจำนวนมาก โครงการนี้ส่งเสริมให้พนักงานแยกขยะอาหารเป็น 2 ประเภท ได้แก่ อาหารที่ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ และอาหารที่ต้องกำจัดเพื่อนำไปผลิตเป็นปุ๋ยหมักหรือก๊าซชีวภาพ (Biogas) สำหรับใช้ในครัวเรือน โดยในปี 2567 โครงการสามารถลดขยะอาหารได้ 48 ตัน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 112 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทั้งยังสนับสนุน “วิสาหกิจชุมชนสมุยยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมการสร้างรายได้ให้กับชุมชนจากการจำหน่ายพืชผักที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยหมักจากโครงการ ซึ่งสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 240,000 บาท

ตลอดการดำเนินงาน เซ็นทรัล รีเทล ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของพนักงาน ชุมชน และพันธมิตร เพื่อร่วมกันจัดการทรัพยากรอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปริมาณขยะอาหารในระบบธุรกิจ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ที่ระบุว่าการสูญเสียอาหารและขยะอาหารคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8–10 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกในแต่ละปี