บริษัทฯ เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภท ผ่านรูปแบบ และช่องทางที่หลากหลาย (Multi-Format and Multi-Category) ในประเทศไทย และมีีการขยายธุุรกิิจในต่่างประเทศ โดยก้าวเป็นผู้นำค้าปลีกในอิตาลี และกำลังก้าวสู่การเป็นอันดับหนึ่งในเวียดนามเช่นกัน นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังเป็นผู้บุกเบิกธุุรกิิจค้้าปลีีกในรููปแบบ Omnichannel ในประเทศไทย ซึ่งช่่วยเสริิมเครืือข่่ายร้้านค้้าปลีีกของของกลุ่มบริษัทฯ ในการนำเสนอสิินค้้าและบริิการแก่่ผู้บริโภค โดยเบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำตลาดนั้น มีชื่อของ “เซ็นทรัล” ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพอยู่ด้วยเสมอ ด้วยการยึดหลักการทำงานที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จึงสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยมาอย่างยาวนานมากกว่า 75 ปี
บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจ ตามแผนงาน 5 ปี ภายใต้ยุทธศาสตร์ CRC Retailligence เพื่อก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย ตาม4 กลยุทธ์หลัก ภายใต้ CRC Retailligence ประกอบด้วย
- Reinvent Next-Gen Omni Retail – ยกระดับแพลตฟอร์ม Omnichannel ผ่านการเชื่อมโลกจริงและโลกเสมือนจริง โดยใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลใหม่ ๆ เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งเหนือระดับในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งส่วนงานฟู้ด แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ และพร็อพเพอร์ตี้ รวมถึงกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ครอบคลุมทั่วประเทศทั้งในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และประเทศอิตาลี
- Accelerate Core Leadership – เร่งการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจหลักของเซ็นทรัล รีเทล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับสากล
- Build New Growth Pillars – เดินหน้าสร้างธุรกิจใหม่ โดยเริ่มจากกลุ่ม Health and Wellness รวมถึงส่วนงานอื่น ๆ ที่เป็นไปตามเทรนด์ของโลกและความต้องการของผู้บริโภค
- Drive Partnership, Acquisition and Spin-Off – ขยายธุรกิจภายใต้แนวคิด Inclusive Growth สร้างความสำเร็จร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ อีกทั้งยังศึกษาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายใด้้ใหม่และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจและสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยทั้ง 4 กลยุทธ์นี้ เป็นกลยุทธ์ที่นำมาขับเคลื่อนองค์กรโดยยึดหลักการในการเป็นศูนย์กลางชีวิตของผู้คน (Purpose-Led Organization: Central to Life) เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability)
ทั้งนี้ เซ็นทรัล รีเทลมุ่งมั่นปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพในทุกหน่วยงาน พร้อมทั้งการบริหารจัดการความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงการบริหารต้นทุน และค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจทั้งหมดไปในทิศทางที่จะขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความยังยืน (ESG) ในกรณีที่บริษัทฯ ระบุเป้าหมายที่เป็นตัวเงินหรือตัวเลขการดำเนินงาน บริษัทฯได้พิจารณาแล้วว่าอยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้โดยมีการระบุกลยุทธ์หรือมาตรการดำเนินงานรองรับ ตลอดจนแนวทางที่กลุ่มบริษัทฯ จะดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวไว้ด้วย
ข้อได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทฯ ได้แก่
- ความเป็นผู้นำในการประกอบธุรกิจค้าปลีกผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย โดยมีแบรนด์ค้าปลีกและการให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม Omnichannel สำหรับสินค้าหลากหลายประเภท
- การทำธุรกิจโดยมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนในการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า
- ระบบนิเวศทางธุรกิจที่หลากหลายของบริษัทฯ ช่วยดึงดูดแบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียง ขับเคลื่อนการผนึกกำลังทางธุรกิจ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าต่อบริษัทฯ
- ความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ และการขยายธุรกิจไปยังประเทศในภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่นในอดีต
- ทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์ ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวของผู้บริหารมืออาชีพในอุตสาหกรรมค้าปลีกและครอบครัวจิราธิวัฒน์
ปัจจุบัน บริษัทฯ ประกอบธุรกิจภายใต้แบรนด์ค้าปลีกหลากหลายแบรนด์ โดยมีเครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีก 3,524 ร้านค้า (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565) อาทิ ห้างสรรพสินค้า, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, พลาซ่า และการจำหน่ายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Omnichannel โดยธุรกิจของบริษัทฯ ครอบคลุมทั้งหมด 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
- กลุ่มฮาร์ดไลน์ ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเขียนอุปกรณ์สำนักงาน หนังสือ และ e-Book ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ไทวัสดุ บีเอ็นบี โฮม เพาเวอร์บาย ออฟฟิศเมท บีทูเอส เมพ และเหงียนคิม เวียดนาม
- กลุ่มฟู้ด ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าที่มักพบได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท บิ๊กซี / GO! และ ท็อปส์ มาร์เก็ต เวียดนาม มินิ โก (go!) เวียดนาม และลานชี มาร์ท เวียดนาม
- กลุ่มแฟชั่น ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ซูเปอร์สปอร์ต และ Brandshop ต่าง ๆ
- กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่สำหรับร้านค้าของกลุ่มบริษัทฯ รวมถึงร้านค้าและบริการของบุคคลภายนอก เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ท็อปส์ พลาซ่า go! ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งมอลล์ และบิ๊กซี / GO! เวียดนาม
- กลุ่มเฮลท์ แอนด์ เวลเนส ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าในหมวดการดูแลสุขภาพและความงาม รวมทั้งสินค้าในกลุ่มดูแลสัตว์เลี้ยง ภายใต้แบรนด์ค้าปลีก เช่น ท็อปส์ แคร์ ท็อปส์ วีต้า และ เพ็ท แอนด์ มี
ทั้งนี้ บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจใน 3 ประเทศ ได้แก่ ในประเทศไทย ซึ่งมีสาขาครอบคลุมทั้งหมด 58 จังหวัด ในประเทศเวียดนาม ทั้งหมด 42 จังหวัด และในประเทศอิตาลี ในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565)
ในปี 2565 บริษัทฯ ได้มีการขยายสาขาและปรับปรุงพื้นที่อย่างต่อเนื่องในทั้ง 3 ประเทศที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจ ในส่วนของประเทศไทย บริษัทฯ มีการเปิดสาขาใหม่ ได้แก่ ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน 3 สาขาที่บ้านฉาง จังหวัดระยอง, ถลาง จังหวัดภูเก็ต และราชพฤกษ์ กรุงเทพฯ ไทวัสดุ 6 สาขา ส่วนของประเทศเวียดนามได้เปิด GO! mall 1 สาขา ซุปเปอร์มาร์เก็ต ท็อปส์และมินิโก! รวม 5 สาขา นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ได้เปิดร้านค้าเฉพาะทาง (Specialty Store) รวมทั้ง Brandshop ต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
ด้านการปรับปรุงสาขาหรือปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ (Renovation & Rebranding) ในส่วนของประเทศไทย บริษัทฯ ได้ปรับปรุงสาขาของศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ และสาขา Flagship ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล อาทิ ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สาขาฉะเชิงเทราและศรีสมาน และเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว ชิดลม และพระราม 2 อีกทั้งได้ปรับปรุงร้านค้าขนาดเล็กอื่นๆ ด้วย สำหรับประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ได้ Rebrand และปรับปรุงสาขา Big C เป็น GO! mall และ GO! hypermarket 10 สาขา สำหรับประเทศอิตาลี บริษัทฯ ได้ปรับปรุงห้างสรรพสินค้า สาขา Milan Florence และ Cagliari
ณ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ มีพื้นที่ขายจำนวน 3.3 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีพื้นที่เช่าจำนวน 0.7 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการปรับตัวเข้ากับความต้องการที่หลากหลายของลููกค้า บริษัทฯ จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Omnichannel อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่จะผสานประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์ให้เข้ากับการเลือกซื้อสินค้าในร้านค้าได้อย่่างไร้รอยต่่อ โดยร้านค้าในเครือข่่ายของบริษัทฯ ได้ผสมผสานรููปแบบการจำหน่ายสินค้าในร้านค้าผ่านพนักงานขายเข้ากับช่องทางการซื้อสินค้าออนไลน์ และสร้างจุดเชื่อมโยงกับลูกค้าผ่านบริการต่าง ๆ เช่น บริการ Personal Shopper และบริการ Call & Shop บริการ Click & Collect บริิการ Reserve & Collect บริการ Chat & Shop บริการ e-Ordering และบริการ Shop & Drive Thru เป็นต้น
ท่านสามารถดูรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ได้ที่ https://www.centralretail.com/en/investor-relations/shareholders-information/major-shareholders
ณ วันที่ 14 มีนาคม 2566 บริษัทฯ มี Free float ประมาณร้อยละ 53
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม ภายหลังจากหักภาษี และการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาทางการเงิน (ถ้ามี)
ท่านสามารถติดต่อฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ โทรศัพท์ +662 650 3600 #1563-1564 และ +669 6056 1900, หรือทางอีเมล: ir@central.co.th. นอกจากนี้ ท่านสามารถติดตามเอกสารนำเสนอและเว็บแคสต์ของกิจกรรมนักลงทุนสัมพันธ์ได้ที่ https://www.centralretail.com/en/investor-relations/document/presentations